Latest Movie :
Recent Movies

เมนูไข่ : ไข่พะโล้หมูสามชั้น

ไข่พะโล้หมูสามชั้น




ส่วนผสม ไข่พะโล้หมูสามชั้น

หมูสามชั้น 300 กรัม
ซีอิ้วดำ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊ป 5 ช้อนโต๊ะ
ผงพะโล้ 1 ช้อนชา
กระเทียม 3 กลีบ
พริกไทยเม็ด 1 ช้อนชา
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่า 3 ถ้วย
ไข่ไก่ 3 ฟอง
เต้าหู้ทอด 1 ห่อ
ซีอิ้วขาว 4 ช้อนโต๊ะ          

วิธีทำอาหาร ไข่พะโล้หมูสามชั้น
1 . ปลอกเปลือกกระเทียมหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปโขลกพร้อมพริกไทยเม็ดให้ละเอียด

2. ล้างหมูสามชั้นให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นขนาดประมาณ 2 นิ้ว

3 .ต้มไข่ไก่ให้สุกปลอกเปลือกพักไว้

4. เปิดเตาที่ไฟปานกลางเอาน้ำมันใส่หม้อ รอจนน้ำมันเริ่มร้อนนำกระเทียมและพริกไทย
ที่โขลกไว้ใส่ลงไปผัดให้หอมจึงใส่หมูสามชั้นลงไป ผัดไปเรื่อยๆจนหมูเกือบสุก

5. ใส่ผงพะโล้ ซีอิ้วดำ และไข่ต้มลงไปผัดให้เครื่องทั้งหมดเข้ากัน
เติมน้ำเปล่าลงไป รอจนน้ำแกงเริ่มเดือดจึงใส่ซีอิ้วขาว ลดไฟลงเหลือไฟอ่อน
และเคี่ยวไปประมาณ 45 นาที

6. เติมน้ำตาลปี๊ปลงไป คนให้น้ำตาลละลายจากนั้น ใส่เต้าหู้ทอดและเคี่ยวต่อไป
อีกประมาณ 30 นาทีก็ปิดเตาและยกลง

7. ตักใส่ถ้วย จากนั้นก็ยกเสริฟได้เลยค่ะ


เมนูผัด : ผัดเปรี้ยวหวานหมูสับ

ผัดเปรี้ยวหวานหมูสับ


ส่วนผสมผัดเปรี้ยวหวานหมูสับ

น้ำมัน 2 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมสับ 4-5 กลีบ
หมูสับ 1 กิโลกรัม
น้ำปลา
น้ำตาลทรายแดง
น้ำมันหอย นิดนึง
ซอสมะเขือเทศ
แป้งข้าวโพด+น้ำ
น้ำส้มสายชู ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ
แตงกวาหั่นขวาง หนานิดนึง
มะเขือเทศ 3-4 ลูก หั่นตามยาว
หอมหัวใหญ่ 1/2 หัว หั่นตามยาว
ต้นหอมหั่นท่อน 2-3 ต้น
   
วิธีทำอาหาร ผัดเปรี้ยวหวานหมูสับ

-เปิดไฟ เจียวน้ำมัน กระเทียม ตามด้วยหมูสับจนสุก
-ปรุงรสด้วยเครื่องทั้งหลายตามชอบ ซอสมะเขือเทศ
-เมื่อปรุงได้ที่แล้วก็ใส่แตงกวา ผัดประมาณ 1 นาทีก็ใส่หัวหอมใหญ่
อีก 1 นาทีก็ใส่มะเขือเทศ ปิดไฟได้เลย แล้วเอาต้นหอมหั่นโรยลงไป คลุกให้เข้ากันสักครั้งสองครั้ง ตักออกกินได้เลย


เมนูผัด : ผัดเผ็ดปลาดุกทอดกรอบ

ผัดเผ็ดปลาดุกทอดกรอบ



ส่วนผสมผัดเผ็ดปลาดุกทอดกรอบ

ปลาดุกหั่นเป็นชิ้นๆ ล้างให้สะาอด 500 กรัม
แป้งสาลี 1 ถ้วยตวง
ใบมะกรูดทอดกรอบ 2 ช้อนโต๊ะ
ใบกะเพราทอดกรอบ 1/4 ถ้วยตวง
พริกสดเขียว แดง เหลือง 3 เม็ด
น้ำปลาดี ประมาณ 3-4 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำพริกแกงเผ็ด 60 กรัม
น้ำมันสำหรับผัด 1/4 ถ้วยตวง
น้ำมันสำหรับทอด
      
วิธีทำผัดเผ็ดปลาดุกทอดกรอบ

1.นำน้ำมันสำหรับทอดใส่กระทะ ตั้งไฟให้ร้อน นำปลาดุกที่ล้างเพื่อคลุกกับ
แป้งสาลให้ทั่วจนหมด นำปลาดุกลงทอดให้กรอบทั่ว ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน
พักไว้

2. นำน้ำมันสำหรับผัด ใส่กระทะ ตั้งไฟให้ร้อน ใส่น้ำพริกแกงเผ็ดลงผัดให้หอม
ใส่น้ำนิดหน่อย ผัดให้ทั่ว ปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำตาลมะพร้าวผัดให้เข้ากัน
ชิมรส ให้ออกรส เค็ม หวาน ใส่พริกสดเขียว แดง เหลือง เมื่อรสดีแล้ว ผัดให้แห้ง นำปลาดุกทอดกรอบลงคลุกให้ทั่ว ตักขึ้นใส่จานพร้อมเสริฟ์ ให้สวยงาม โรยหน้าด้วยใบมะกรูดทอดกรอบ ใบกะเพราทอดกรอบให้สวยงาม

เมนูผัด : ผัดฉ่าปลาบึก

ผัดฉ่าปลาบึก



ส่วนผสมผัดฉ่าปลาบึก

ปลาบึกหั่นเป็นชินๆขนาดพอคำ 400 กรัม
กระเทียมสับละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูโขลกละเอียด 3 ช้อนโต๊ะ
กระชายหั่นฝอย 1/2 ถ้วยตวง
พริกไทยอ่อนหั่นเป็นท่อนๆ 1/4 ถ้วยตวง
ใบมะกรูดฉีกเส้นกลางออกฉีกเป็นชิ้นๆ 5 ใบ
พริกสดเขียว แดง เหลือง หั่นแฉลบ 6 เม็ด
ใบโหระพาเด็ดเป็นใบๆ 1/2 ถ้วยตวง
น้ำปลาดี 1/4 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันหอย 2 ช้อนโต๊ะ
ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยป่น 2 ช้อนชา
น้ำมันสำหรับผัด 1/2 ถ้วยตวง
นำ้ซุป 1/2 ถ้วยตวง

 วิธีทำอาหาร ผัดฉ่าปลาบึก

- นำน้ำมันใส่กระทะ ตั้งไฟพอร้อน ใส่เครื่องที่โขลก ผัดให้หอม ใส่ปลาบึก ผัดพอสุก ปรุงรสด้วยน้ำปลาดี น้ำตาลทราย น้ำมันหอย ซอสปรุงรส พริกไทยป่น น้ำซุป ผัดให้เข้ากัน ชิมรส เมื่อรสดีแล้ว ใส่กระชาย พริกสด ใบมะกรูด พริกไทยอ่อน ผัดพอผักสุก ใส่ใบโหระพา ผัดให้เข้ากัน ยกลง จัดใส่จานพร้อมเสริฟ์ให้สวยงาม


แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย

แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย



ส่วนผสมแกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย เนื้อปลากรายขูด 4 ถ้วย
รากผักชีซอยละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมซอยละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยเม็ด 20 เม็ด
เกลือป่น 1 ช้อนชา
น้ำสะอาด 3 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำอาหารลูกชิ้นปลากราย

1. นำพริกไทย รากผักชีซอยละเอียด กระเทียมซอยละเอียด มาโขลกให้ละเอียด จากนั้นนำไปคลุกกับเนื้อปลา นวดจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว
2. ละลายเกลือเข้ากับน้ำสะอาด ในขณะที่นวดปลากรายนั้น ให้ค่อย ๆ ใส่น้ำเกลือลงไปทีละน้อย จนหมด (นวดต่อไปเรื่อย ๆ ประมาณ 20-30 นาที จนสีของเนื้อปลาเงาใส แสดงว่าใช้ได้แล้ว
3. นำหม้อต้มน้ำให้เดือด จากนั้นใช้ช้อนตักเนื้อปลาให้เป็นก้อนพอดีคำ ค่อย ๆ ใส่ลงไปในน้ำเดือด รอให้ลูกชิ้นปลาลอยขึ้นมา แสดงว่าสุกแล้ว ก็ตักขึ้นแช่ในน้ำเย็น พักไว้

ส่วนผสมแกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย

เครื่องแกงเขียวหวาน 3 ช้อนโต๊ะ
หัวกะทิ 2 ถ้วย ,หางกะทิ 6 ถ้วย
มะเขือเปราะผ่าเป็นชิ้น ๆ 8 ลูก
พริกชี้ฟ้าแดงหั่นเฉียง 1/3 ถ้วย
กระชายซอยเป็นเส้น 1 ถ้วย
ใบมะกรูดฉีก 10 ใบ
ใบโหระพา 1 ถ้วย
น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำอาหารแกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย

1. นำหัวกะทิ 1 ถ้วยตั้งไฟ เคี่ยวให้แตกมัน จากนั้นใส่เครื่องแกงเขียวหวานลงไปผัด เคี่ยวไปเรื่อย ๆ พร้อมทั้งเติมหัวกะทิที่เหลือลงไปทีละน้อยจนหมด

2. นำลูกชิ้นที่เตรียมไว้ลงผัดกับพริกแกง ตามด้วยกระชายซอย ผัดให้ทั่วจนเริ่มมีกลิ่นหอม

3. ตั้งหางกะทิที่เตรียไว้จนเดือด จากนั้นนำลูกชิ้นปลากรายที่ผัดกับเครื่องแกง
เทลงไป รอจนเดือด

4. หลังจากที่เดือดแล้ว ใส่มะเขือเปราะลงไป ตามด้วยใบมะกรูด และพริกชี้ฟ้า

5. ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำปลา รอให้เดือดอีกครั้ง จึงใส่ใบโหระพาแล้วยกลง

6. ตักใส่ชาม แต่งหน้าด้วยใบโหระพา พริกชี้ฟ้า และหัวกะทิเล็กน้อย พร้อมเสิร์ฟทันที

แกงเขียวหวานเป็ดย่าง

แกงเขียวหวานเป็ดย่าง



   ส่วนผสมแกงเขียวหวานเป็ดย่าง

    เป็ดย่างหั่นชิ้นพอคำ 1/2 ตัว
    พริกเครื่องแกงเขียวหวาน 150 กรัม
    มะเขือเปราะ 5 ลูก
    มะเขือพวง 1/2 ถ้วย
    พริกชี้ฟ้าสีแดงหั่นแฉลบ 3 เม็ด
    ใบมะกรูดฉีก 5 ใบ
    โหระพาเด็ดใ 1/2 ถ้วย
    น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
    น้ำตาล 2 ช้อนชา
    มะพร้าวขูดขาว 500 กรัม


วิธีทำแกงเขียวหวานเป็ดย่าง
1.หั่นมะเขือเปราะให้ได้ 4-6 ชิ้น ต่อ 1 ลูก แล้วแช่น้ำเปล่าทิ้งไว้ไม่ให้เนื้อมะเขือดำ

2. คั้นมะพร้าวให้ได้กะทิ 3 ถ้วย เอากะทิตั้งไฟอ่อน คนเสมอ พอแตกมันแบ่งออกมา 1/2 ถ้วย

3. นำกะทิที่แบ่งออกมาใส่กระทะตั้งไฟแรงปานกลาง เคี่ยวให้แตกมันมากๆ เอาเครื่องแกงลงไปผัดให้หอม

4.ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล แล้วเอาเป็ดย่างผัดให้เข้ากัน ใส่มะเขือเปราะและมะเขือพวงลงผัดตาม

5. ตักส่วนผสมทั้งหมดที่ผัดใส่ลงในหม้อน้ำกะทิที่เหลือ ตั้งไฟจนเดือด พอเนื้อเป็ดเริ่มเปื่อย ใส่ใบมะกรูด ก่อนปิดไฟโรยพริกชี้ฟ้า ใบโหระพา คนให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วยเสริฟ

วิธีทำอาหาร แกงกะหรี่ไก่

แกงกะหรี่ไก่


ส่วนผสมแกงกะหรี่ไก่

สะโพกไก่ 5 ชิ้น
หอมหัวใหญ่ ¼
หัวกะทิ 1 กระป๋อง
น้ำพริกแกงกะหรี่ 2 ช้อนโต๊ะ
มันฝรั่ง 2 หัว
ซีอิ้วขาว 2 ½ ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่า 1 ถ้วย      
   
วิธีทำอาหาร แกงกะหรี่ไก่

1. ปลอกเปลือกมันฝรั่งล้างน้ำให้สะอาดสะเด็ดน้ำแล้วนำมาหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า พักไว้

2. ปลอกเปลือกหอมหัวใหญ่ล้างน้ำให้สะอาดสะเด็ดน้ำแบ่งครึ่ง แล้วซอยหยาบๆ พักไว้

3. นำหัวกะทิประมาณ 1 ถ้วยใส่ลงในหม้อตั้งไฟปานกลางพอกะทิเริ่มเดือดให้ใส
่น้ำพริกแกงกะหรี่ลงไป คนให้เข้ากัน

4. เคี่ยวไปซักพักจนกะทิแตกมัน(คนเป็นระยะ อย่าให้ไหม้)
จึงใส่สะโพกไก่ที่ล้างสะอาดแล้วลงไป

5. รอให้สะโพกไก่สุกทั้งสองด้านจึงใส่กะทิที่เหลือลงไป คนให้เข้ากัน

6. เคี่ยวสะโพกไก่ที่ไฟปานกลางค่อนข้างอ่อนประมาณ 15 นาที
จึงใส่มันฝรั่งและหอมหัวใหญ่ที่หั่นไว้ลงไป

7.เติมน้ำเปล่าลงไป คนให้เครื่องทั้งหมดเข้ากันแล้วจึงปรุงรส
ด้วยซีอิ้วขาวและน้ำตาลทราย

8. คนให้ทั่ว ชิมรสตามชอบแล้วเคี่ยวต่อไปอีกประมาณ 15-20 นาที จนมันฝรั่งเริ่มนิ่ม
และสะโพกไก่เปื่อยได้ที่ก็ปิดเตาและยกลงได้

9. ตักแกงกะหรี่ใส่ถ้วย จากนั้นก็ยกเสริฟได้เลยค่ะ

แกงจืดเต้าหู้หมูสับ

แกงจืดเต้าหู้หมูสับ

ส่วนผสมแกงจืดเต้าหู้หมูสับ

เต้าหู้หลอด 1 หลอด
หมูสับปรุงรส 100 กรัม
น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
ต้นหอม 2 ต้น ผักชี 2 ต้น
น้ำเปล่า 4 ถ้วย
ซุปไก่ก้อน ½ ก้อน
ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ

เครื่องปรุงหมูสับปรุงรส

หมูสับ 100 กรัม
ซีอิ้วขาว 1 ช้อนชา
น้ำตาลทราย ½ ช้อนชา
พริกไทยป่น ½ ช้อนชา
น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ          

วิธีทำอาหาร แกงจืดเต้าหู้หมูสับ

1.นำหมูสับมาผสมกับเครื่องปรุงต่างๆคือน้ำมันหอยซีอิ้วขาว
น้ำตาลทรายและพริกไทยป่นคลุกเคล้าเครื่องปรุงให้เข้ากับ
หมูสับ พักไว้

2. ตัดรากต้นหอมและผักชีนำไปล้างน้ำให้สะอาด สะเด็ดน้ำแล้วหั่นเป็นท่อนๆจากนั้นนำเต้าหู้หลอด
มาหั่นเป็นแว่นขนาดหนาประมาณ 1.5 ซม.

3. เปิดเตาที่ไฟปานกลางค่อนข้างแรงใส่น้ำเปล่าลงไปใน
หม้อใส่ซุปไก่ก้อนลงไปพอน้ำเดือดแล้วให้นำเต้าหู้หลอด
ที่หั่นไว้ใส่ลงไปรอจนน้ำเดือดอีกครั้งจึงตักหมูสับ
ที่ปรุงไว้เป็นก้อนเล็กๆทะยอยใส่ลงไป

4. ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาว และน้ำตาลทรายจากนั้นก็นำต้นหอม
และผักชีที่หั่นเป็นท่อนแล้วใส่ลงไป รอจนน้ำเดือดอีกครั้ง
แล้วปิดเตาทันที

5.ตักใส่ถ้วยโรยด้วยพริกไทยป่นเล็กน้อยจากนั้นก็ยกเสริฟได้เลยค่ะ


วิธีทำแกงจืดให้อร่อย โดยไม่ใส่ผงชูรส

ต้มกระดูกสันหลังเคี่ยวไว้นานๆ
(ลวกน้ำร้อนทิ้งก่อนทีนึง)

เวลาทำทุบรากผักชีใส่ลงไปด้วยนิดหน่อย
ปลาหมึกแห้งเหมาะกับแกงจืดหัวใช้เท้า
กุ้งแห้งเหมาะกับแกงจืดฟัก
ถ้าจะเอาไปทำน้ำก๋วยเตี๋ยวใส่หัวใช้เท้าท่อนใหญ่ๆน้ำจะหวาน

น้ำปลา ซีอิ๊วขาว หรือเกลือ นี่แล้วแต่ความเคยชินมากกว่า

ปกติถ้าทำกินเองคนเดียวแค่ชามเดียว
เราทำน้ำแกงหมูสับ
ต้มน้ำใส่ตังฉ่าย ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว
ใส่ผักกาด เต้าหู้ ตามแต่ใจ
หมูสับใส่น้ำนิดนึง ปรุงรสใส่ซีอิ๊ว
แบ่งใส่เป็นก้อนไปหน่อย
หมูสับที่เหลือก่อนยกลงใส่ลงไปในหม้อ
คนให้กระจาย พอสุกก็รีบปิดไฟ
น้ำแกงไม่ใสเหมือนเคี่ยวกระดูกนานๆ
จะขุ่นกว่า แต่รสหวานน้ำซุบหมู


ใส่เกลือ ๑ ช้อนชาต่อน้ำ ๑ หม้อเล็ก  แล้วใส่หมูสับตอนเริ่มเดือด หมั่นช้อนฟองออก ส่วนผักที่จะใส่ตอนหลัง อย่าใส่น้ำปลา หลังจากเสร็จแล้ว ค่อยเติมทีหลัง พริกไทยกระเทียมที่หมักกับหมูสับ จะช่วยให้รสแกงดีขึ้น ไม่ต้องใส่ผงชูรสเลยครับ


วิธีทำแกงจืดให้อร่อยแบบง่ายๆนะครับ ไม่ต้องไปต้มกระด่งกระดุกอะไรให้เยอะแยะเลย...

- ตั้งน้ำเปล่าบนเตาแล้วเปิดไฟ

- ใส่รากผักชี กระเทียม พริกไทยทุบ (ใส่กระเทียมเม็ดเยอะๆเลยครับ แล้วค่อยตักออกทีหลัง)

-ปรุงรสด้วยเกลือ (เกลือจะทำให้ซุปใสและได้รสหวานเมื่อใส่ในปริมาณที่พอเหมาะ)

- ซีอิ๊วขาว (เพื่อให้ได้กลิ่นหอมและสีทอง)

หลังจากนั้นเราจะใส่ผักในแกงจืดใช่ไหม...รสหวานกลมกล่อจะออกมาจากผักที่ใส่เองอ่ะครับ ไม่ต้องไปทำอะไรมัน

ช่วงแรกๆที่ทำจะไม่อร่อยนะครับ เพราะ จขกท.ยังไม่รุ้ว่าควรใส่อะไรเท่าไหร่...แต่ให้ทำไปเรื่อยๆสัก 7 หม้อรสชาติจะดีขึ้นเรื่อยๆครับ ไม่เกิน 20 หม้อ จขกท.จะโปรฯแกงจืดโคตรๆอ่ะ



ตามร้าน  จะมีหม้อต้มเหมือนกับหม้อก๋วยเตี๋ยวแหละ
ในหม้อจะมี กระดูกหมู (เอียเล้ง) หรือไม่ก็ซี่โครงไก่
และก็ใส่เกลือลงไปหน่อย ใส่หัวไช่เถ้าลงไป
และก็ ต้มน้ำซุป เปิดไปเรื่อยๆ เติมน้ำไปเรื่อยๆ
เวลามีคนมาสั่ง ก็ตักน้ำในหม้อ ต้มน้ำเดือด ใส่หมูสับ เต้าหู้หลอด ช้อนฟองขึ้น ใส่ผัก คน 2-3 ที
เตรียมชาม รองด้วย ต้งฉ่าย สาหร่าย ใส่ชูรส น้ำปลาหน่อย ตักในหม้อใส่ชาม โรยด้วยกระเทียมเจียว ตบพริกไทยลงไปอีกหน่อย เสร็จล่ะ  "แกงจืดหมูสับสาหร่าย" ร้อนๆๆ

อย่างพวก ข้าวต้มปลา เคยเจอ ร้านเก่าแก่ บอกเคล็ดลับ คือ ต้องต้มกระดูกปลาตัวใหญ่ๆ เป็นน้ำซุป ยิ่งใหญ่ยิ่งดี
ถือว่าเป็นการลงทุน ห้ามขรี้เหนียวเด็ดขาด

บางบ้านชอบใส่คนอร์ ผมว่าเป็นพวกแม่บ้านสมัยใหม่ ที่ไม่ค่อยสะดวกในการเตรียมอะไรที่ยุ่งยาก
และหนักว่านั้น ปีนี้น่าจะมีซอสแบบใหม่ออกสู่ตลาดแล้วล่ะ แบบว่าสะดวกโครตเลย ถ้ากะใส่ปริมาณให้เป็น จบเลยในขั้นตอนเดียว

ดิฉันเพิ่งแกงจืดกินเสร็จสักครู่
ทำเองกินเองก็ว่า อร่อยเหมือนกัน ทำแบบมักง่ายด้วย
บดหมูพร้อมกระเทียม พริกไทย
ตั้งน้ำ ให้เดือด ใส่เกลือ ซีอิ้วขาว ปั้นหมูลงไป
ใส่ลูกชิ้นลงไปหน่อย พอดีมันมีติดตู้เย็น หั่นก้านเซลลารี่ใส่
หั่นผักกาดขาวใส่ กำกุ้งแห้งใส่หน่อย
วันนี้ไม่มีผักชี ต้นหอม ไม่ต้องใส่ กระเทียมเจียวไม่มีด้วย
พอจะยกลง เอาตั้งฉ่ายโปรยลงไปนิด เรียบร้อยค่ะ


น้ำต้มควรใช้น้ำกรอง ไม่งั้นถ้าจมูกดีอาจได้กลิ่นครอรีน
ตำรากผักชี กระเทียม พริกไทย ให้ละเอียดพอควร หมักกับหมูสับ ผสมซีอิ้วขาว ( ปริมาณคงต้องกะเอง ว่าชอบอะไร )
พอน้ำร้อนก่อนเดือดก็ทยอยใส่หมู เกลือแกง หลักเช่นเดียวกับการต้ม คือถ้าอยากให้น้ำหวานจากเนื้อสัตว์ให้ลงน้ำไม่เดือด ถ้าอยากให้ภายในเนื้อหวานให้ใส่ตอนน้ำเดือดแล้ว ( เนื้อสัตว์ที่ติดกระดูกพอโดนความร้อนจัดทันที รูด้านนอกของกระดูกจะปิด ทำให้น้ำไขกระดูกที่จะทำให้น้ำซุปหอมหวานออกมาน้อย ) สังเกตุดูว่าทำไม ตุ๋นที่ดี น้ำอร่อยมาก เนื้อค่อนข้างจืด ตุ๋นใช้ไฟอ่อนตลอดเพื่อทานน้ำและเนื้อเปื่อยนุ่มมากแต่ใช้เวลานาน การต้มใช้เวลาน้อย น้ำอร่อยน้อยกว่า เนื้อแข็งกว่าแต่หวานกว่าถ้าของที่ใช้เหมือนกัน จึงต้องเพิ่มผักและอื่นๆถ้าชอบน้ำ
ลองต้มน่องไก่ดู น้ำร้อนจัดแต่ยังไม่เดือดลงน่องไก่ และหอมหัวใหญ่ปอกเปลือกทั้งหัวลูกปานกลาง ตามปริมาณเท่าน่องไก่ เกลือแกงหรือเกลือทะเล ( เกลืออนามัยไว้กินแบบอื่น ไม่ใช้กับแกงมันเค็มแหลมเกินไป)  พริกไทยเม็ด ตลอดการต้มอย่าเร่งไฟ รอจนหอมใหญ่นิ่มใส หรือดูว่าเนื้อไก่หดตัวจากปรกติก็เสร็จ (จะเติมเห็ดหอมสักดอก หรือขิงสักแว่นเล็กแต่แรกก็ได้ เพื่อทำให้หอมขึ้น แต่ผมชอบใส่คึ่นใช่เล็กน้อยตอนท้าย) ท้ายสุดจะทุบพริกขี้หนูสวน บีบมะนาว ก็แซปไปอีกแบบ ( ลืมบอกไปว่า น้ำจากภายในกระดูก ถ้าเจอเกลือกับความร้อน จะให้สารที่คลายกับ msg แต่ไม่อันตราย)


หมักหมู(จะเป็นหมูสับหรือหมูชิ้น..ถ้าหมูชิ้นส่วนใหญ่ใช้สันในหรือสันนอกก็ได้)โดยใส่กระเทียมพริกไทยรากผักชี ใส่น้ำปลา น้ำตาลทรายนิดนึง
คนให้เข้ากันจนเริ่มเหนียวถ้าให้หมูนิ่มให้ส่วนผสมหมูสับมีมันหมูอยู่ด้วย
ตั้งน้ำใส่น้ำปลาเยอะหน่อย เกลือนิดนึง(1/4 ชช.)และน้ำตาลลงไปนิดหน่อย ใส่หมูบดใช้ช้อนตักเป็นคำๆ ใส่ลงไป(ใส่เลยขณะน้ำยังไม่เดือดไม่ต้องกลัวเหม็นคาว)
ปิดฝารอให้น้ำเดือดอย่าคน(ระวังน้ำจะล้นตอนเดือด)พอน้ำเดือดใส่ผักที่ต้องการเช่นผักกาดขาว เต้าหู้ขาว ฟักเขียว หัวไชเท้า
เคี่ยวไปสักพักรอจนผักสุก
ชิมดูถ้ารสชาติใช้ได้(ถ้าจืดไป่ใส่น้ำปลาเพิ่ม ถ้าเค็มไปเติมน้ำได้และให้เดือดอีกที)ใส่ต้นหอมผักชี เสร็จยกลง

หมายเหตุ ถ้าเป็นแกงจืดหัวใชเท้าหรือ ฟักเขียวให้ใส่กุ้งแห้งลงไปด้วย ทำให้อร่อยขึ้น แต่ถ้าเป็นมะระให้นำมะระไปแช่เกลือก่อนแล้วล้างออก
แล้วนำไปใส่หม้อเลยรวมกับหมูตอนน้ำยังไม่เดือดแล้วปิดฝารอจนน้ำเดือดพุ่ง...มะระจะได้ไม่ค่อยขม

***เราทำไม่เคยใส่ผงชูรส หรือซุปก้อน และไม่ค่อยใช้น้ำซุป แต่หลานๆและเพื่อนๆ ที่กินจะชอบมาก บอกว่าอร่อย หมดทุกที 

วิธีทำผัดกะเพราให้อร่อยครับ หลายสูตร มาก ครับ ..


กระเพราหมูน่ากินมั๊ยคะ .... ง่ายมากๆค่ะ คือว่าเป็นคนที่ชอบกินผัดกระเพราหมูมากๆค่ะ ตอนนั้นทำเอง ก็เลยขอถ่ายรูปไว้ซักหน่อย มันอร่อยด้วยนะ

เตรียม กระเทียม+พริกสด โขลกหยาบๆ พักไว้ เด็ดใบกระเพรา พักไว้ หมูสับ ประมาณ 30 บาท(จานนี้) แล้วก็ซอสภูเขาทอง,ซอสหอยนางรม,ซีอิ๊วดำนิดหน่อย, น้ำตาล
1.ตั้งน้ำมันให้ร้อนๆ ใส่พพริก+กระเทียมลงไป ผัดๆให้เหลืองๆ
2.ใส่หมูลงไป ผัดๆนิดหน่อย แล้วก็ใส่ซอสภูเขา 2 ชต.+ซอสหอยฯ 3 ชต.+น้ำตาล 1/2 ชต. + ซีอิ๊วดำนิดหน่อยเพิ่มสีสัน (ไม่ได้ตวงหรอกค่ะ กะๆๆเอา) ผัดๆให้สุกดี แล้วชิมดูนะคะ ใส่ใบกระเพราะ คลุกๆพอผักสลดก็พอ


บอกให้ทราบก่อนนะครับว่าผัดกระเพราไม่ใส่เครื่องดังต่อไปนี้
1.ถั่วฝักยาว.........
2.ซอสปรุงรสพวกฝาเขียว ฝาส้ม ฝาเหลือง ทั้งหลาย
3.น้ำมันหอย
4.ใบกระเพราที่ใช้ต้องใบเล็กเท่านั้น

ส่วนการผัดพื้น ๆ ครับ

1.ตั้งน้ำมัน
2.ใส่พริกตำกับกระเทียม
3.ใส่เนื้อสัตว์
4.ใส่น้ำล้างครก(ที่มีพริกตำติดอยู่)
5.ปรุงรส
6.ใส่ใบกระเพรา

กระเพราที่ดีต้องค่อนข้างแห้ง


สูตรใครก็สูตรใครนิ เราขอมาแฉของเรามั่ง อิอิ
1. ตำพริกชี้ฟ้า+กระเทียม
2. นำพริกกระเทียมที่ตำแล้วลงผัดในกะทะ จนกระเทียมเริ่มเหลือง นำเนื้อสัตว์ (หมู,ไก่ หรือกุ้ง) ลงไปผัด ผัด จนสุก ใส่น้ำซุป (น้ำเปล่าก็ได้) นิดนึง
3. น้ำตาลประมาณ 1 หรือ 1/2 ช้อนชา ถ้าไม่ชอบหวาน ซ๊อสปรุงรส (เด๋วนี้ใช้ซ้อสผัดของทาคุมิสะดวกดีมีสามรสในขวดเดียว)
4. ชิมรสตามชอบ เค็มๆ หวานๆนิดๆ หอมๆ
5. ใส่ใบกระเพราผัดๆ ไปจนใบกระเพราะสุก
6. เอาน้ำมันหอยมาโรย โรย ผัดๆ ต่อ ปิดไฟ
7. ตักใส่ภาชนะ ...... ทานได้แล้วค่ะ
แฮ่ะๆ เสร็จแร้วค่ะ


สูตรครัวตัวดีค่ะ

1.โขลกกระเทียม  พักไว้
2.โขลกพริก พักแยกไว้ (ไม่โขลกรวมกัน ไม่ชอบส่วนตัวค่ะ
สาเหตุเพราะถ้าผัดพริกกะกระเทียมตั้งแต่ต้น มันแสบทรมานจมูกมั่กค่ะ T_T)
3.เด็ดใบกะเพรา พักไว้
4.น้ำมันหอย 1 ส่วน+ น้ำปลา 1 ส่วน + น้ำเปล่า 1 ส่วน + น้ำตาล 1/2 ส่วน คนรวมกัน ชิมรสตามชอบ
5.ล้างหมู หรือกุ้ง พักไว้

วิธีทำ
1.ตั้งกะทะร้อน ไฟแรง
2.เทน้ำมัน พอน้ำมันอุ่นๆ เอากระเทียมลงกะทะ
3.เจียวกระเทียมหอมแล้ว เอาหมูลง ผัดๆ ๆ พอสุก
4.ใส่ส่วนผสมปรุงรส ผัดแล้วชิมรส ขาดอะไรก็เติม
5.ใส่กะเพรา + พริก ผัดพอเฉา ปิดเตา

ออกมาจะได้กะเพราสูตรไม่เผ็ดมาก น้ำขลุกขลิก
ไม่มีใครบ่นเลยค่ะ ทานได้ทุกวัย


ขอแจมด้วยคนค่ะ

ส่วนประกอบ
  - เนื้อหมู  ประมาณหนึ่งอุ้งมือหมักกับซีอิ๊วขาว 1 ชต. น้ำตาลทรายนิดหน่อย พักไว้
  - กระเทียมสับละเอีด  1  ชต.
  - พริกขี้หนูบุบแตก สับหยาบ  1 ชต.
  - พริกชี้ฟ้าแดงเขียว หั่นแฉลบ  3-4 เม็ด
  - ใบกระเพรามากน้อยตามชอบ เด็ดแช่น้ำฝน  สรงขึ้นให้สะเด็ด
  - ใบมะกรูด 1 ใบ
  - น้ำปลาดี  2 ชต.
  - น้ำตาลปี๊บ  1 ชช.
  - น้ำซุบหมู(น้ำต้มกระดูกหรือน้ำแกงจืด)  หรือน้ำฝน หรือน้ำสะอาด หรือ  4 ชต.
  - น้ำมันหมู  4 ชต. (บางเมนูอร่อยกว่าน้ำมันพืชนะคะ)


ลงมือทำ
  - ตั้งไฟอ่อนใส่น้ำมันหมูลงกระทะพอร้อน
  - ใส่กระเทียม  พริกขึ้หนูสับลงผัด
  - เร่งไฟ  ใส่หมูหมักลงผัด
  - เติมน้ำซุบหมู
  - พอหมูเริ่มสุก ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลปีป
  - ใส่พริกชี้ฟ้า  ฉีกใบมะกรูดใส่  ผัดต่ออีกนิด
  - ใส่ใบกระเพรา  คลุกให้ทั่วแล้วปิดไฟเลยค่ะ

รับรอง.........................................อร่อย


สำหรับผมนะ ผัดกะเพราแท้ๆควรใส่แค่ใบกะเพรา พริกชี้ฟ้าแดง ก็พอ อย่าไปใส่ผักอย่างอื่นรสชาติจะเพี้ยน(แต่บางคนอาจชอบ)
พวก หอมใหญ่ ข้าวโพดอ่อน เห็ดฟาง ผมว่ามันไม่อร่อยนะมันจะกลายเป็นผัดขี้เมา แต่ถั่วฝักยาวพออนุโลมได้รสไม่เปลี่ยน
แล้วก็ใช้ไฟแรงๆจนควันท่วมนะสุดยอดผัดเร็วๆ ไม่ต้องชิมเป็นการฝึกน้ำหนักมือไปในตัว


ไปตลาด ลองถามหากระเพราแดงนะครับ มันจะมีสีเขียวอมแดง หอมกว่ากระเพราเขียวมาก

ผัดเผ็ดหมู

ผัดเผ็ดหมู เครื่องปรุงผัดเผ็ดหมู


หมูเนื้อสัน 400 กรัม
มะพร้าวขูด 200 กรัม
ใบมะกรูดฉีก 3-5 ใบ
พริกชี้ฟ้าแดงหั่นเฉียง 2 เม็ด
พริกไทยอ่อน 3 ช่อ
น้ำปลา 1.5 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
น้ำตาลทราย1/2ช้อนโต๊ะ
น้ำมัน1ช้อนโต๊ะ          

วิธีทำอาหาร ผัดเผ็ดหมู

1. ล้างเนื้อหมูให้สะอาดหั่นชิ้นบาง กว้างยาว 1 นิ้ว
2. คั้นมะพร้าว ให้ได้กะทิ 1 ถ้วย
3. ใส่น้ำมันลงในกระทะ ใช้ไฟกลางใส่เครื่องแกงลงผัดให้หอม
ใส่หมูผัดสักครู่ ใส่กะทิ 1/2 ถ้วย ตั้งไฟต่อประมาณ 10 นาที หมั่นคน
4. เมื่อเนื้อหมูสุกใส่กะทิที่เหลือปรุงรสด้วยน้ำปลา เกลือ
น้ำตาลใส่ใบมะกรูด พริกไทยอ่อนคนให้เข้ากัน ตั้งไฟต่อจนเดือด
5. ใส่พริกชี้ฟ้า คนให้เข้ากัน เสิร์ฟ


ต้มจืดฟักใส่กระดูกหมู

สูตรอาหารไทย เมนูอาหารประเภทต้ม : ต้มจืดฟักใส่กระดูกหมู ช่วง นี้เข้าหน้าหนาว อากาศเริ่มเย็น ลมพัดโบกโบย แต่บางวันก็ร้อน เรียกได้ว่า อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย จนอาจทำให้หลายท่านเจ็บไข้ได้ป่วยได้ หากรู้สึกไม่สบายก็ทานอาอารประเภทต้ม ทานน้ำชุบร้อน ช่วยได้มากทีเดียว สำหรับเมนูยอดฮิตเมนูหนึ่งคือ  ต้มจืดฟักใส่กระดูกหมู ทานกับข้าวสวย ร้อนๆ ทำให้ร่างกายสดชื่นมีเรียวแรงขึ้นมาได้ดีเชียว ฟักอ่อนนั้นเป็นผักที่มีสรรพคุณทางยา ช่วยขับเสมหะ แก้ไอ แก้หลอดลมอักเสบ ช่วยขับปัสสาวะ แก้โลหิตเป็นพิษ บวมน้ำ แก้ธาตุพิการอีกด้วย ประโยชน์มากมายขนาดนี้ สงสัยเย็นนี้จะต้องทำต้มจืดทานสักถ้วย ดังนั้น ลองมาดูสูตรต้มจืดฟักใส่กระดูกหมูกันเลย ....

 
ต้มจืดฟักใส่กระดูกหมู
เครดิตรูปจากครัวดงละคอน@Oknation.net
ส่วนประกอบและเครื่องปรุง
  • ฟักเขียวอ่อน 1 ลูกเล็ก ปอกเปลือกล้าง หั่นเป็นชิ้นให้เรียบร้อย
  • เห็ดหอมแห้ง 4-5 ดอก (แช่น้ำให้นิ่ม หั่นเป็นชิ้น)
  • กระดูกหมู 500 กรัม (ครึ่งกิโลกรัม)
  • รากผักชีทุบ 5 ราก
  • เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
  • ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
  • ผงปรุงรส 1 ก้อน (ใช้แบบไม่มีผงชูรส)
  • กระเทียมปอกเปลือกทุบพอแตก 7 กลีบ
  • แครอทและต้นหอมหั่น (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้แล้วแต่ชอบ)
เครื่องปรุงต้มจืดกระดูกหมู

ขั้นตอนและวิธีทำ
  1. นำหม้อใส่น้ำสะอาดตั้งไฟ ใส่รากผักชีลงไป  
  2. พอน้ำเดือด ใส่กระดูกหมูลงไป ขั้นตอนนี้สำคัญ หลังจากใส่กระดูกหมูลงไปแล้ว เปิดไฟแรง ให้น้ำเดือดจัด (น้ำจะมีฟองพุดๆ) แล้วหรี่ไฟลงทันที ใช้ไฟอ่อนๆ เคี่ยวกระดูกหมูประมาณ 30 นาที วิธีนี้จะทำให้น้ำต้มใส ไม่ขุ่น
  3. นำฟักอ่อนและเห็ดหอมใส่ลงไปปรุงรสด้วยเกลือป่น ผงปรุงรส  ซีอิ๊วขาว ชิมรสชาติตามชอบ
  4. ต้มต่อไปด้วยไฟอ่อนๆ จนฟักสุก และกระดูกหมูจะนุ่ม การสังเกตุดูฟักสุกนั้น เนื้อฟักจะใส นิ่ม ก็เป็นอันใช้ได้ครับ (ข้อแนะนำ ระวังอย่าใช้ไฟแรงหรือน้ำเดือดพล่านจะทำให้น้ำซุปขุ่น หมั่นช้อนฟองและไขมันออกเรื่อยๆ จะทำให้น้ำซุปใสน่ารับประทาน)
  5. ชิมรสชาติปรุงรสตามชอบอีกครั้ง ใส่ต้นหอม ปิดไฟได้เลย
  6. ตักให้ถ้วย โรยผักชี เหยาะพริกไทยเล็กหน่อย เสริฟกับข้าวสวยร้อนๆ 
 
มื้อเย็นวันนี้ ไม่รู้จะทานอะไรดี นึกเมนูอะไรไม่ออก ก็ขอแนะนำต้มจืดฟักกระดูกหมู ต้มหม้อใหญ่ๆ ทานได้หลายๆ คน อีกทั้งเก็บไว้อุ่นทานตอนเช้าได้อีกด้วย อิ่มกาย อิ่มใจ สุขภาพดีไปอีกมื้อ

ถั่วเขียวต้มน้ำตาล

วิธีทำถั่วเขียวต้มน้ำตาลที่กลิ่นหอม เนื้อนุ่ม รสชาติอร่อย

 เครื่องปรุงถั่วเขียวดิบ ½ ถ้วย
น้ำตาลทราย ¼ ถ้วย
น้ำตาลทรายแดง ¼ ถ้วย
เกลือป่น 1/8 ช้อนชา
น้ำเปล่า 4 ถ้วย



วิธีทำ

1. ล้างถั่วเขียวให้สะอาด สะเด็ดน้ำแล้วนำไปใส่ในกระทะ
วิธีทำถั่วเขียวต้มน้ำตาล 1 ล้างถั่วเขียวให้สะอาด สะเด็ดน้ำแล้วนำไปใส่ในกระทะ

2. เปิดเตาที่ไฟอ่อน คั่วถั่วเขียวไปเรื่อยๆ จนมีกลิ่นหอมก็ปิดเตาได้
วิธีทำถั่วเขียวต้มน้ำตาล 2 คั่วถั่วเขียวไปเรื่อยๆ ด้วยไฟอ่อนจนมีกลิ่นหอมก็ปิดเตาได้

3. นำถั่วเขียวที่คั่วแล้วไปแช่น้ำประมาณ 4 ชั่วโมงหรือค้างคืนไว้ เมื่อได้เวลาก็เทน้ำที่แช่ไว้ทิ้งไป
วิธีทำถั่วเขียวต้มน้ำตาล 3 แช่ถั่วเขียวคั่วไว้ประมาณ 4 ชั่วโมง จากนั้นก็เทน้ำที่แช่ไว้ทิ้งไป

4.  เปิดเตาที่ไฟปานกลาง นำน้ำเปล่า 3 ถ้วยใส่หม้อ ใส่ถั่วเขียวลงไป
วิธีทำถั่วเขียวต้มน้ำตาล 4 นำน้ำใส่หม้อ ต้มจนน้ำเริ่มเดือดก็นำถั่วเขียวที่แช่ไว้ใส่ลงไป

5. เมื่อน้ำเดือดให้ลดไฟลงเหลือไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน ต้มไปเรื่อยๆ จนถั่วเขียวสุกนุ่ม หมั่นคนเป็นระยะ
วิธีทำถั่วเขียวต้มน้ำตาล 5 เมื่อน้ำเดือดให้ลดไฟลงเหลือไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน ต้มไปเรื่อยๆ จนถั่วเขียวสุกนุ่ม หมั่นคนเป็นระยะ

6. เมื่อถั่วเขียวบานออกแล้ว ให้ใส่น้ำตาลทรายทั้งสองชนิดและเกลือป่นลงไป คนให้ละลายแล้วต้มต่อไปอีกประมาณ 5 นาทีเพื่อให้น้ำตาลเข้าเนื้อถั่วเขียว
วิธีทำถั่วเขียวต้มน้ำตาล 6 เมื่อถั่วเขียวบานแล้วให้ใส่น้ำตาลและเกลือป่นลงไป คนให้ละลายแล้วต้มต่ออีก 5 นาที

7. จากนั้นให้ใส่น้ำเปล่าลงไปอีก 1 ถ้วย (เพื่อให้น้ำใสขึ้น) คนให้เข้ากัน รอจนน้ำเดือดอีกครั้งก็ชิมรสตามชอบ และปิดเตายกลงได้
วิธีทำถั่วเขียวต้มน้ำตาล 7 ใส่น้ำเปล่าลงไปอีก 1 ถ้วย คนให้เข้ากัน รอจนน้ำเดือดก็ปิดเตาได้

8. ตักถั่วเขียวต้มน้ำตาลใส่ถ้วย จากนั้นยกเสิร์ฟได้เลยค่ะ

สูตรขนมหวานไทย : ถั่วเขียวต้มน้ำตาล



 เครื่องปรุง + ส่วนผสม


* ถั่วเขียว 1/2 กิโลกรัม

* น้ำตาลทราย 1/2 กิโลกรัม

* น้ำดอกไม้สด 10 ถ้วย


   ขนมหวานไทย : ถั่วเขียวต้มน้ำตาล
   
      วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน





1. ทำความสะอาดถั่วเขียว โดยเริ่มจากเลือกเอาสิ่งสกปรกออกแล้วจึงล้างน้ำให้สะอาด

2. ตั้งน้ำดอกไม้สดในหม้อโดยใช้ไฟปานกลาง ใส่ถั่วเขียวที่ล้างแล้วลงไปต้ม พอน้ำเดือดจึงเริ่มคนเป็นระยะๆ รอจนถั่วสุกและบานออกเล็กน้อยพอนิ่ม

3. ปรุงรสด้วยน้ำตาลทรายตามความหวานที่ชอบ คนให้น้ำตาลละลาย ต้มต่อไปจนเดือดอีกครั้ง และถั่วเขียวบานนุ่มสุกดี จึงปิดไฟ ทิ้งไว้ให้หายร้อน

4. ตักใส่ถ้วยเล็ก เสริฟเป็นของว่างในวันสบายๆ ถ้าชอบทานเย็นๆ อาจนำไปแช่เย็นหรือใส่น้ำแข็งก่อนเสริฟเพื่อทานแก้ร้อนในได้เหมือนกัน

หมูทอดกระเทียมพริกไทย ราดข้าว


ส่วนผสมที่ใช้ทำ หมูทอดกระเทียมพริกไทย ราดข้าว 


- เนื้อหมูสันนอก หรือเนื้อหมูติดมัน 500 กรัม
- กระเทียมปอกเปลือก 1 หัว
- พริกไทยเม็ด 20 เม็ด
- รากผักชี 3ราก
- ซีอิ๊วขาว1ช้อนโต๊ะ
- น้ำมันพืช
- ผักชี
- แตงกวา
- ข้าวสวย 1 จาน


ขั้นตอนและวิธีทำการทำ หมูทอดกระเทียมพริกไทย ราดข้าว
1. ล้างหมูให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นไม่หนามาก ลักษณะยาวสักหน่อย
2. โขลกกระเทียมกับรากผักชี พริกไทยให้เข้ากันละเอียดเนื้อ
นำกระเทียมกับราก ผักชีและพริกไทยที่โคลกกันไว้เมื่อครู่นำมาเคล้ากับหมูที่เตรียมไว้ให้ทั่วเป็นเนื้อเดียวกัน ใส่ซีอิ๊วขาวลงไปเคล้าให้เข้ากัน หมักไว้ประมาณ 30 นาที
3. นำกระทะตั้งไฟกลาง ใส่น้ำมัน รอน้ำมันร้อนจนได้ทีและเตรียมหมูที่หมักไว้ ใส่ลงไปในกระทะ ดูจนเนื้อจนเหลืองสุก นำหมูขึ้นจากน้ำมัน รอให้สเด็ดน้ำมัน
4. พอแห้งแล้วจัดใส่จานข้าวสวยที่เตรียมไว้ ตกแต่งด้วยผักชี และแตงกวา แก้เลี่ยน พร้อมเสิรฟจ๊ะ


สูตรอาหารไทย : ผัดผักบุ้ง

[ STIR-FRIED SWAMP CABBAGE WITH SALTED SOYA BEAN ]
     เครื่องปรุง + ส่วนผสม
* ผักบุ้ง 300 กรัม
* กระเทียมสับละเอียด 10 กลีบ
* พริกทุบพอแหลก 3-5 เม็ด
* น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
* เต้าเจี๊ยว 1 ช้อนชา
* ซ๊อสหอยนางรม 2 ช้อนชา
* น้ำตาล 1 ช้อนชา
* กระเทียมเจียว (สำหรับแต่งหน้าอาหาร)
* พริกไทยป่น (สำหรับแต่งหน้าอาหาร)

วิธีทำทีละขั้นตอน
1. ล้างผักบุ้งในน้ำสะอาด สะเ็ด็ดน้ำให้แห้งแล้วจึงนำไปหั่นตามยาว โดยหั่นให้มีความยาวประมาณ 2 นิ้ว
2. ในถ้วยขนาดใหญ่ นำผักที่หั่นแล้วใส่ลงไป จากนั้นจึงเติมเครื่องปรุง ซึ่งได้แก่ กระเทียมสับ, พริก, น้ำมันหอย, เต้าเจี๊ยว และน้ำตาล บนผักบุ้ง
3. ใส่น้ำมันลงในกระทะและนำไปตั้งไฟ (ใช้ไฟแรง) รอจนกระทั่งเริ่มมีควันจากน้ำมันในกระทะ จากนั้นจึงใส่ผักและเครื่องปรุงที่เตรียมไว้แล้ว (ในขั้นตอนที่ 2) ลงในกระทะ ผัดอย่างรวดเร็วประมาณ 15 วินาที จึงหรี่ไฟลง (หมาย เหตุ : ในขณะที่ใส่ผักและเครื่องปรุงลงไปผัด จะเกิดไฟวาบลุกขึ้นในกระทะ ถ้าครัวของท่านมีขนาดเล็ก ไม่ควรจะใช้ไฟแรง เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายต่อสิ่งของภายในครัวได้ นอกจากนั้น ควรระวังใบหน้าและมือด้วย กรณีผู้ที่ไม่ชำนาญการทำอาหาร แนะนำให้ใช้ไฟปานกลางผัด ก็จะได้รสชาติที่อร่อยเหมือนกัน แต่จะไม่มีกลิ่นควันไฟในอาหารเท่านั้นเอง)
4. ตักใส่จาน โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียวและเหยาะพริกไทยป่นนิดหน่อย เสริฟทันทีพร้อมข้าวสวยร้อนๆ


Blogroll

 
Support : | |
Copyright © 2014. วิธีทำอาหารไทย - All Rights Reserved
Template Created by Published by
Proudly powered by Blogger